ULTRASONIC EXAMINATION (UT)
การตรวจสอบด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
คลื่นเสียงความถี่เหนือระดับที่มนุษย์ได้ยินถูกส่งเข้าในชิ้นงาน กระทบกับรอยต่อระหว่างผิว (interface) ของรอยความไม่ต่อเนื่องหรือแม้กระทั่งผนังของชิ้นงาน สามารถสะท้อน หักเห เลี้ยวเบน และลดทอนกำลังลง พฤติกรรมของคลื่นเสียงเหล่านี้ถูกนำมาวิเคราะห์ เพื่อระบุตำแหน่ง ขนาดมิติ และลักษณะรูปทรงของรอยความไม่ต่อเนื่อง Snell’s law เป็นแกนความรู้หลักสำหรับพิจารณาคลื่นเสียงทำมุมตกกระทบกับรอยต่อระหว่างผิวของคู่วัสดุที่มีความเร็วเสียงแตกต่างกัน คลื่นเสียงหักเหด้วยมุมเปลี่ยนไปตามความสัมพันธ์ของความเร็วและมุมตกกระทบ ในทางการค้าหัวทดสอบมักสร้างความเร็วคลื่นเสียงตามยาวออกจากผลึก และมีมุมตกกระทบทำให้เกิดมุมวิกฤตที่หนึ่ง (first critical angle) นั่นคือ มีเพียงคลื่นเฉือนเท่านั้นเกิดขึ้นในชิ้นงาน ซึ่งถูกสอบเทียบก่อนการปฏิบัติงานด้วยแท่งสอบเทียบ IIW block V1 เทคนิคการตรวจสอบนี้ถูกแบ่งเป็นหัวทดสอบสัมผัสกับชิ้นงานและส่งคลื่นเสียงผ่านน้ำ เทคนิคแรกถูกใช้ทั่วไปกับการตรวจสอบแนวเชื่อม หรืองานผิวเรียบ มีพื้นที่สำหรับสแกนหัวทดสอบและชิ้นงานต้องมีความหนาไม่น้อยกว่า 6 มม. เทคนิคที่สองมักถูกใช้ในภาคอุตสาหกรรมการผลิตในรูปของ Automate ultrasonic testing เนื่องจากขจัดปัญหาการสึกหรอของหัวทดสอบ และสามารถตรวจสอบได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น การตรวจแนวตะเข็บเชื่อมของการผลิตท่อ หัวทดสอบสามารถติดตั้งไว้บน Rotor ทุก 90 องศา ส่งคลื่นเสียงเข้าสู่ชิ้นงานพร้อมกับการหมุนรอบท่อที่เคลื่อนที่บนสายพานลำเลียงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถตรวจท่อโลหะได้ตั้งแต่ความหนา 1.5 มม. ขึ้นไป
อุปกรณ์สำหรับการตรวจสอบด้วยวิธีนี้คือเครื่อง,สายนำสัญญาณ,หัวทดสอบ, IIW V1 or V2 และแท่งสอบเทียบ Sensitivity การตั้งค่า Pulser และ Receiver จำเป็นต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งเพื่อให้เกิดการตอบสนองคลื่นเสียงสูงสุด โดยเริ่มตั้งค่าความถี่จากหัวทดสอบ ใช้แรงดัน แบนด์วิด และตัวกรอง ให้เกิด Signal to Noise ratio สูงที่สุด ส่วนการตั้งค่า Damp ให้พิจารณาถึงความสามารถในการจำแนกรอยความไม่ต่อเนื่องใกล้ผิว ค่าโอห์ม ต่ำมีอำนาจจำแนก (resolution) ดีกว่า แต่กำลังของคลื่นจะด้อยลง สำหรับการเลือกค่าความถี่ แม้ว่าความถี่ต่ำสามารถให้กำลังสูงกว่าและมักใช้กับงานหนา แต่แนะนำให้เลือกตามมาตรฐานที่ถูกใช้ ตัวอย่างเช่น AWS D1.1 บังคับใช้ความความถี่ 2.25 MHz ขนาดผลึกไม่น้อยกว่าครึ่งนิ้ว ตรวจงานความหนาตั้งแต่ 8 มม. ขณะที่ ASME กำหนดให้ใช้หัวทดสอบขนาดผลึก 8x9 มม. ความถี่ 4 MHz เป็นต้น
Sensitivity setting เป็นการกำหนดความสามารถตรวจการสะท้อนคลื่นจากรอยตำหนิที่เล็กที่สุด แต่ละมาตรฐานถูกกำหนดไว้แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น ตรวจสอบงานหล่อมักถูกกำหนดจาก Flat Bottom Hole (FBH) เบอร์ 3, 5, 8 หรือถูกกำหนดจาก Side Drill Hole (SDH) D 1.5 mm จาก IIW V1 สำหรับ AWS ในรูปของ Indication rating ( a-b-c=d) ส่วน ASME block ถูกใช้สร้าง Distance Amplitude Correction (DAC) curve เพื่อเป็นเกณฑ์ตัดสินขณะที่คลื่นเสียงลดทอนลงตามระยะทางเคลื่อนที่ในชิ้นงาน นอกจากนี้ยังมีมาตรฐาน JIS Z3060 สามารถใช้ Standard Test Block (STB) หรือ SDH จาก Reference Block สร้างเป็น DAC เพื่อเป็นเกณฑ์ตัดสินชิ้นงานได้เช่นกัน
สุดท้าย ความไม่รอบคอบของผู้ตรวจสอบมักนำไปสู่ความผิดพลาด คือ 1) การลดทอนคลื่นระหว่างผ่านเข้าในชิ้นงาน และ 2) ความเร็วแท้จริงของคลื่นเฉือนในโลหะผสมสูง ปัจจัยแรกเกิดจากพื้นผิวและขนาดเกรนของแท่งสอบเทียบและชิ้นงานแตกต่างกัน เกือบทุกมาตรฐานมักกำหนดให้ความเบี่ยงเบนที่ไม่จำเป็นต้องปรับตั้งค่าใหม่ คือ ±2 dB ปัจจัยที่สอง ผู้ตรวจสอบมักคุ้นเคยกับ 3,250 m/s ซึ่งเป็นความเร็วมาตรฐานของคลื่นเฉือนในเหล็กกล้าคาร์บอนต่ำ และมาตรฐานมักกำหนดให้ค่าความเบี่ยงเบน ±50 m/s ทั้งสองปัจจัยดังกล่าวนี้ จำเป็นต้องใช้หัวทดสอบมุมเดียวกันสองหัว กำหนดให้เป็นตัวส่งและรับสัญญาณแยกกัน และปัจจัยที่สองต้องใช้การคำนวณร่วมกับ Snell’s law จึงจะได้ความเร็วคลื่นเฉือนอย่างแท้จริง